หากเราจะพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนไทยมากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คำตอบหนึ่งที่ทุกคนนึกถึงคือ “ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5” ที่ไม่เพียงทำลายสุขภาพในระยะยาว แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว เกษตรกรรม และความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมของประเทศ
เราทุกคนล้วนเป็น “ผู้ได้รับผลกระทบ” ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในเมืองหรือต่างจังหวัด แต่วันนี้…ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “ยุคใหม่ของการจัดการฝุ่น PM 2.5” ที่ไม่ได้ดำเนินการโดยภาครัฐเพียงลำพังอีกต่อไป

จุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลง: ยุทธศาสตร์ฟ้าใส และ 7 ข้อเสนอลดฝุ่น PM 2.5
ในช่วงปลายปี 2567 รัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 อย่างใกล้ชิด และดำเนินมาตรการเชิงรุกในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมมลพิษจากยานพาหนะ การลดการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม การจัดการเชื้อเพลิงในป่า และการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม พร้อมกับประกาศใช้ยุทธศาสตร์ “ฟ้าใส” หรือ CLEAR Sky Strategy เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนอย่างเป็นระบบ
ต่อมาในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นการประชุม ครม. สัญจรนัดแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในภาคเกษตรกรรม และภาคป่าไม้ ในพื้นที่ปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ 7 ข้อเสนอสำคัญของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ สำนักงาน ก.พ.ร. ประกอบด้วย 1. บูรณาการแผนงานโครงการ และงบประมาณ โดยจัดลำดับความสำคัญในการกำหนดพื้นที่เป้าหมาย 2. พัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เชื่อมโยงข้อมูลเพื่อวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ 3. เร่งจัดสิทธิที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ โดยใช้เทคโนโลยีและงบประมาณสนับสนุน 4. ลดการเผาในภาคเกษตร ด้วยการส่งเสริมเกษตรไม่เผา พัฒนาแหล่งน้ำ และระบบ GAP PM 2.5 Free 5. จัดการเชื้อเพลิงในป่าไม้ ปรับกฎหมาย กติการ่วมกันระหว่างรัฐและชุมชน เพื่อบริหารเศษวัสดุและสร้างรายได้ 6. ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุ ทางการเกษตร จับคู่ระหว่างผู้ต้องการซื้อและเกษตรกร และ 7. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและภาคประชาชนเพื่อขยายผลการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยใช้มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม ตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นแนวทางดำเนินการ (ดาวน์โหลดอินโฟกราฟิกสรุปข้อเสนอการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้ที่ https://shorturl.asia/AVQZR)
โมเดลการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย สู่บทเรียนที่ได้จากพื้นที่จริง
กว่าจะเป็น 7 ข้อเสนอลดฝุ่น PM 2.5 สำนักงาน ก.พ.ร. ใช้เวลากว่า 3 ปี ในการนำร่องและทดลองใช้โมเดลระบบนิเวศภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย (Open Government and Meaningful Participation Ecosystem) มาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 ในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดลำปาง และในปี พ.ศ. 2566 ได้ขยายผลไปยังจังหวัดเชียงใหม่ โดยคัดเลือกให้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) จำนวน 2 พื้นที่ คือ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย และอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่

จากบทเรียนในพื้นที่นำร่อง สรุปได้ว่าการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะในจังหวัดภาคเหนือ ต้องอาศัยการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตลอดปี ด้วยกลไกบริหารจัดการที่เรียกว่า “สูตร 8-3-1” คือ ใช้เวลา 8 เดือน เตรียมความพร้อมและป้องกัน/ ใช้เวลา 3 เดือน เผชิญเหตุและบริหารสถานการณ์วิกฤต/ ใช้เวลา 1 เดือน ฟื้นฟูและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ
แก้ฝุ่น PM 2.5 ด้วยแนวคิด “ผนึกกำลังทุกภาคส่วน”
1 ใน 7 ข้อเสนอสำคัญที่ถูกผลักดันผ่านหลายภาคส่วน คือ การสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ด้วยการใช้กลไกใหม่ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม นั่นคือ การนำ “มาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI” มาใช้เป็นแรงจูงใจ ให้เกิดการขยายผลและความรวดเร็วในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยสำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ส่งเสริมการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและภาคประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วม นี่คือ การเปลี่ยนโจทย์จาก “รัฐจัดการ เอกชนเฝ้าดู” สู่ “ความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชน” อย่างแท้จริง
ภาคเอกชนจะ “จับคู่ความร่วมมือ” (Matching) กับองค์กรท้องถิ่น วิสาหกิจชุมชน หรือกลุ่มเกษตรกร เพื่อออกแบบโครงการ/กิจกรรมให้ตรงกับปัญหาจริงของแต่ละพื้นที่ โดยมีพื้นที่เป้าหมาย คือ 14 กลุ่มป่าที่มีความเสี่ยง และมีจุดความร้อนสูง (Hotspot) พร้อมด้วยพื้นที่การเกษตรในจังหวัดที่ประสบปัญหาหมอกควันซ้ำซากเป็นประจำทุกปี
ในช่วงปี พ.ศ. 2567 – 2568 เริ่มมีภาคเอกชนจำนวนมากแสดงความประสงค์สมัครเข้าร่วมมาตรการ BOI เพื่อดำเนินโครงการ/กิจกรรมการจับคู่ (Matching) ระหว่างภาคเอกชนและองค์กรท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่มีพลังอย่างมากและกำลังขยายผลอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่น่าสนใจคือรูปแบบการสนับสนุนที่ ไม่ใช่แค่การบริจาคเงิน แต่เป็นการนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญ และทรัพยากรของภาคธุรกิจ มาสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่อย่างตรงจุด เช่น
- การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์การเกษตรสมัยใหม่ ให้กับกลุ่มเกษตรกร เช่น รถตัดอ้อย เครื่องสางใบอ้อย โดรนเพื่อการเกษตร รถแทรกเตอร์ รถเกี่ยวนวดข้าว เครื่องอัดฟาง ฯลฯ เพื่อลดการเผาในพื้นที่ภาคเกษตรกรรม
- การวิจัย พัฒนา และแจกจ่ายจุลินทรีย์ชีวภาพ ที่สามารถย่อยสลายฟางและตอซังได้จริง เพื่อช่วยลดการเผา
- การสร้างระบบป้องกันไฟป่า เช่น สร้างแนวกันไฟ ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ติดตั้งจุดเฝ้าระวัง และจัดซื้ออุปกรณ์ดับไฟป่าทันสมัย
- การสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัสดุชีวมวล เช่น สนับสนุนเครื่องจักรแปรรูป ใบไม้ เศษพืช หรือฟางข้าว ให้กลายเป็นปุ๋ยหมัก หรือฟางอัดก้อน
- การฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่เสี่ยง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดการเผา เช่น สร้างฝายและระบบจัดการน้ำ ฝึกอบรมและสาธิตการผลิตของป่าในครัวเรือนและเพื่อการค้า สร้างเรือนเพาะชำกล้าไม้ โรงผลิตปุ๋ยชุมชน สนับสนุนการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการรับรองมาตรฐาน
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงการช่วย “ลดฝุ่น” แต่คือการปรับโครงสร้างภาคการเกษตร และสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เชื่อมโยงสิ่งแวดล้อมพร้อมกับสร้างรายได้ให้ชุมชน เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการเผา และนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

เอกชนไม่เพียงได้ช่วยสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
ภาคเอกชนที่สนใจสามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ได้ ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ในการ ยกเว้นภาษีเงินได้สูงถึง 120% ของเงินลงทุน สำหรับโครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคม และชุมชนเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยจะต้องมีเงินลงทุนทั้งโครงการไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท และสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 5 แสนบาทต่อราย (ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี นับจากวันออกบัตรส่งเสริม) ตัวอย่างกิจกรรมที่เข้าเกณฑ์ และนับเป็นเงินลงทุน เช่น
- การจัดซื้อและส่งมอบเครื่องจักรให้กลุ่มเกษตรกรหรือชุมชน เช่น รถตัดอ้อย เครื่องสางใบอ้อย เครื่องอัดใบอ้อย เครื่องอัดฟาง เครื่องอัดจานใบไม้พร้อมอุปกรณ์ขึ้นรูปภาชนะ เครื่องผลิตชีวมวล/ถ่านอัดแท่ง เครื่องอัดปุ๋ยเม็ด เครื่องผสมปุ๋ยหมัก
- การจัดหาอุปกรณ์สำหรับเฝ้าระวังและดับไฟป่า เช่น โดรน ระบบตรวจหาและแจ้งเตือนอัตโนมัติ เครื่องเป่าลม วิทยุสื่อสาร ถังบรรจุน้ำ ชุดปฏิบัติงาน ถุงทอ หมวกนิรภัย
- ค่าก่อสร้างเพื่อการป้องกันและเฝ้าระวังไฟป่า เช่น แนวป่าเปียก ฝายชะลอความชุ่มชื้น ระบบกระจายน้ำ จุดเฝ้าระวังไฟป่า ปรับปรุงเรือนเพาะกล้าไม้เพื่อนำไปปลูกป่า
- การฝึกอบรมด้านการป้องกันและควบคุมไฟป่า เช่น ค่าวิทยากร ค่าอาหารและค่าเดินทางสำหรับผู้เข้าร่วมอบรม ค่าสถานที่ ค่าอุปกรณ์ในการสาธิตและทดลองปฏิบัติงานควบคุมไฟ
แพลตฟอร์ม PM 2.5 Matching เพื่อการจับคู่ (Matching) รัฐ – เอกชน – ชุมชน
เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่สนใจ สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดทำแพลตฟอร์ม PM 2.5 Matching ซึ่งเป็นพื้นที่กลางในการให้ข้อมูล และรายละเอียดเกี่ยวกับการจับคู่ภาคเอกชนกับพื้นที่เป้าหมาย โดยจะมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ได้แก่ การตรวจสอบคุณสมบัติและประเภทกิจการที่เข้าร่วมมาตรการ BOI ได้ รายละเอียดพื้นที่เป้าหมายที่ต้องการการสนับสนุน ขั้นตอนและกระบวนการ (Workflow) ในการเข้าร่วมมาตรการ ช่องทางติดต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
แพลตฟอร์ม PM 2.5 Matching คลิก https://forestmatch.my.canva.site/pm-2-5-matching

บทส่งท้าย อากาศดี เริ่มได้จากความร่วมมือของทุกคน
ในอดีต เราอาจเคยมองว่า “ปัญหาฝุ่น PM 2.5” เป็นเรื่องของภาครัฐหรือหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม แต่ในวันนี้ ภาคธุรกิจหลายแห่งได้พิสูจน์แล้วว่า “ความร่วมมือ” ไม่ใช่เพียงคำพูด แต่เป็นพลังในการสร้าง ความเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น ด้วยการนำองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีและทรัพยากร ขององค์กรมาช่วยเหลือสังคมและโลกใบนี้ เพราะ “อากาศดี” คือสิทธิพื้นฐานของคนไทยทุกคน การเริ่มต้นในวันนี้ คือ พลังสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง