ข่าวสาร ก.พ.ร.

ลขาธิการ ก.พ.ร. (นายปกรณ์ นิลประพันธ์) และคณะ ประชุมร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก เพื่อรับทราบความก้าวหน้าการปรับปรุงร่างกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจเพื่อให้ข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลไทยในการปรับปรุงระบบกฎหมายที่เกี่ยวของกับหลักประกันทางธุรกิจ

11 ก.ค. 2562
0

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 เลขาธิการ ก.พ.ร. (นายปกรณ์ นิลประพันธ์) และคณะ ประชุมร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก นำโดย Ms. Elaine MacEachern (Senior Financial Sector Specialist) Dr. Thomas Johnson (Senior Expert on Secured Transaction Regime) Mr. Richard P. Palmieri (ANR Partners, LLC) และนางสาวรัชฎา อนันตวราศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญภาคการเงินอาวุโส เพื่อรับทราบความก้าวหน้าการปรับปรุงร่างกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจเพื่อให้ข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลไทยในการปรับปรุงระบบกฎหมายที่เกี่ยวของกับหลักประกันทางธุรกิจ

ธนาคารโลกได้ดำเนินการศึกษาการบังคับใช้พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการเข้าถึงสินเชื่อ โดยพัฒนาการประเมิน การบริหารและกรบรรเทาความเสี่ยง และมีการจัดตั้งสํานักงานทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อทำหน้าที่รับจดทะเบียน แก้ไขรายการจดทะเบียน และยกเลิกการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ ผลลัพธ์ที่ได้คือ มีการเริ่มใช้ระบบสิทธิในหลักประกันสมัยใหม่สำหรับสังหาริมทรัพย์ที่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สามารถนำมาใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้ และจากสถิติของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแสดงถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนธุรกรรมและมูลค่าของงานทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมียอดรวมคิดเป็นร้อยละ 43 ของยอดสินเชื่อทั้งหมดของระบบธนาคารพาณิชย์ หรือประมาณ 15 ล้านล้านบาท (ณ สิ้นเดือนเมษายน 2562) อย่างไรก็ดี พระราชบัญญัติดังกล่าวยังมีข้อจำกัด เช่น ยังคงจำกัดวงเฉพาะสถาบันการเงิน (Bank) เท่านั้น ยังไม่รวมเจ้าหนี้รายอื่น ๆ (Non-Bank) ซึ่งครอบคลุมสินทรัพย์ที่เป็นเงินสด สินค้าคงคลัง และบัญชีลูกหนี้ เป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งยังเป็นเพียงการขยายระบบจำนองในระบบธนาคารและสถาบันการเงินเท่านั้น ซึ่งไม่เอื้อให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อได้ เนื่องจาก SMEs มีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ระบบการจดทะเบียนสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันยังมีความหลากหลาย ทั้งทั้งแง่หน่วยงานรับจดทะเบียน และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กระบวนการบังคับหลักประกันภายใต้พราชบัญญัติยังมีความซับซ้อน

ธนาคารโลกยังให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิในหลักประกัน พ.ศ. … ที่ได้มีการดำเนินการในปี 2560 ว่าเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง โดยต้องมีการเชื่อมระบบจดทะเบียนเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียวและให้อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียว และเสนอแนวทางการดำเนินการต่อไป โดยให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ 3 ระดับ ได้แก่ (1) คณะกรรมการผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้กำหนดวัตถุประสงค์ นโยบาย และตัดสินใจในนโยบายที่สำคัญต่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยผู้บริหารในคณะกรรมการควรประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงยุติธรรม (2) คณะทำงานศึกษาและยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิในหลักประกัน ทำหน้าที่รวบรวมและนำเสนอข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ และบริหารกระบวนการร่างกฎหมาย รายงานต่อต่อคณะกรรมการผู้บริหารระดับสูง (3) คณะร่างพระราชบัญญัติ ประกอบด้วยผู้แทนจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งจะได้รับคำปรึกษาจากคณะทำงานฯ ในทุกขั้นตอนของกระบวนการ

ในการนี้ เลขาธิการ ก.พ.ร. ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญและความจำเป็นในการปรับปรุงพระราชบัญญัติดังกล่าวตามแนวทางที่ธนาคารโลกเสนอ และจะได้ผลักดันการดำเนินการให้เกิดผลโดยเร็วต่อไป เพราะหากดำเนินการล่าช้าจะส่งผลเสียต่อ SMEs ในการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจ และส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน เช่น เมียนมาร์ เวียดนาม ลาว ที่มีการดำเนินการบนกฎหมายหลักประกันสมัยใหม่ที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจของ SMEs มากกว่า

กลุ่มงานเลขานุการ ก.พ.ร. และการประชาสัมพันธ์ / จัดทำ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุ้กกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ปุ่มตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สำนักงาน ก.พ.ร. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลการใช้งาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ช่วยให้ ก.พ.ร. ทราบถึงการปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานในการใช้บริการเว็บไซต์ของ ก.พ.ร. รวมถึงหน้าเพจหรือพื้นที่ใดของเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยม ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลด้านอื่น ๆ ก.พ.ร. ยังใช้ข้อมูลนี้เพื่อการปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์ และเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งานมากขึ้น ถึงแม้ว่า ข้อมูลที่คุกกี้นี้เก็บรวบรวมจะเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ และนำมาใช้วิเคราะห์ทางสถิติเท่านั้น การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ ก.พ.ร. ไม่สามารถทราบปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ และไม่สามารถประเมินคุณภาพการให้บริการได้

  • คุกกี้เพื่อการโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้เป็นคุกกี้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม ซึ่งเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานและเว็บไซต์ที่ท่านได้เข้าเยี่ยมชม เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของ ก.พ.ร. ทั้งนี้ หากท่านปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะไม่ส่งผลต่อการใช้งานเว็บไซต์ของ ก.พ.ร. แต่จะส่งผลให้การนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่น ๆ ไม่สอดคล้องกับความสนใจของท่าน

บันทึกการตั้งค่า