เมื่อวันจันทร์ที่ 7 ก.พ. 2565 สำนักงาน ก.พ.ร. จัดการประชุม อ.ก.พ.ร. เกี่ยวกับการขับเคลื่อนระบบราชการเพื่ออนาคต ครั้งที่ 1/2565 ณ โรงแรมรอยัลปริ๊นเซส หลานหลวง และการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยได้เชิญประธาน อ.ก.พ.ร. และ อ.กพม. ที่เกี่ยวข้องร่วมหารือวาระสำคัญเกี่ยวกับ “กรอบทิศทาง เป้าหมาย และแนวทางการพัฒนาระบบราชการไทยที่เป็นรูปธรรมในระยะต่อไป (Administrative Reform in Action)”
สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ประธาน อ.ก.พ.ร.ฯ ได้ขอให้ TDRI และและผู้ทรงคุณวุฒิใน อ.ก.พ.ร.ฯ นำเสนอผลการวิจัย แนวคิดการปฏิรูประบบราชการ และแนวโน้มในอนาคตที่จะกระทบต่อภาครัฐไทย ดังนี้
– ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นำเสนอสรุปผลโครงการศึกษาภาพอนาคตของภาครัฐไทย และข้อเสนอแนวทางปรับบทบาทภาครัฐไทยไปสู่รัฐเครือข่าย โดยการปรับบทบาทภาครัฐให้เอื้อต่อการสนับสนุนการสร้างเครือข่าย กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมจากภาคธุรกิจ และส่งเสริมศักยภาพของภาคประชาสังคม ลดอำนาจการควบคุมของภาครัฐ
– ดร.วิรไท สันติประภาพ นำเสนอสรุปแนวคิดที่ได้นำเสนอในเวทีต่าง ๆ ประกอบด้วย ปัญหาสะสมของภาครัฐไทย คุณลักษณะของภาครัฐในอนาคต ซึ่งการปรับเปลี่ยน Mindset เป็นสิ่งสำคัญ หลักคิด และแนวทางในการปฏิรูปภาครัฐโดยแบ่งออกเป็นเสาการเมือง เสาโครงสร้าง เสากฎหมาย และเสาแรงจูงใจ
– คุณเชษฐา เทอดไพรสันต์ นำเสนอแนวโน้มในอนาคตที่ภาครัฐจะต้องเตรียมการรับมือที่เรียกว่า Next “C” Crisis ได้แก่ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งขีดความสามารถภาครัฐเพียงฝ่ายเดียวอาจจะไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนอื่น โดยนำสถานการณ์โควิด-19 มาเป็นบทเรียนในการเตรียมพร้อมรองรับกับวิกฤต
จากนั้น อ.ก.พ.ร.ฯ และผู้ทรงคุณวุฒิ ได้เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางการพัฒนาระบบราชการในระยะต่อไป สรุปดังนี้
1. ปัญหาของระบบราชการไทย
– ขาดการบูรณาการการทำงาน และมีโครงสร้างการบริหารแบบรวมศูนย์
– ภาครัฐมีขนาดใหญ่ มีสัดส่วนต้นทุนบุคลากรสูงและเป็นภาระในการดูแลระยะยาว ทำให้กระทบต่อสัดส่วนงบลงทุนในการพัฒนาประเทศ
– ยังมีการทุจริตคอรัปชั่น ในขณะที่หน่วยตรวจสอบตั้งกฎกติกาที่ทำให้เกิดความไม่คล่องตัวในการทำงานในภาพรวม
– กฎหมายล้าสมัย ไม่ยืดหยุ่น และไม่รองรับต่อการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากถูกจัดทำขึ้นตามกรอบของโลกเก่า
– ปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัลได้ช้าและมีค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสูง เนื่องจากไม่มีความพร้อมด้านทรัพยากรและไม่มีแหล่งเงินทุนที่จะช่วยชดเชยต้นทุนดังกล่าว
– การยึดติดกับบทบาทในการเป็นผู้ปฏิบัติมากเกินไป และการให้บริการส่วนใหญ่ยังคงใช้แนวคิด Supply-driven ซึ่งไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน และประชาชนไม่มีสิทธิ์เลือกรับบริการจากภาครัฐ
– หลีกเลี่ยงความเสี่ยง ไม่กล้าทำสิ่งใหม่ สาเหตุทั้งจาก Mindset และระเบียบ กฎหมายที่แข็งตัวมากเกินไป
– ไม่มีการศึกษาวิเคราะห์ธรรมชาติของราชการไทยในเชิงลึก เพื่อให้เข้าใจสภาพการทำงานและแนวทางการพัฒนา
2. แนวทางแก้ไขปัญหา
2.1 ลดบทบาทภาครัฐ ส่งเสริมบทบาทของภาคส่วนอื่น
– ปรับบทบาทภาครัฐให้เป็นผู้กำหนดนโยบาย สนับสนุนด้านงบประมาณ เป็นผู้ควบคุมที่เข้มแข็ง และลดบทบาทผู้ปฏิบัติ
– ถ่ายโอนภารกิจภาครัฐ ผลักดันให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียม และสนับสนุนให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ
– พัฒนาการให้บริการแบบ Demand-driven เช่น การสนับสนุนด้านการการศึกษาโดยให้คูปองกับผู้ปกครองสามารถเลือกสถานศึกษาที่มีคุณภาพได้
– กระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีอิสระในการบริหารจัดการตามบริบทของพื้นที่มากขึ้น
– ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างข้าราชการรุ่นใหม่-ประชาชนในพื้นที่-เอกชนในพื้นที่ ด้วยกรอบความคิด “ทำงานและเติบโตไปด้วยกัน”
2.2 โครงสร้างและการบูรณาการการทำงานภาครัฐ
– หากลไกการทำงานข้ามกระทรวงในรูปแบบอื่น ๆ นอกเหนือจากกลไกการจัดตั้งคณะกรรมการ
– พัฒนาแนวทางการทำงานรูปแบบพิเศษให้กับหน่วยงานเชิงยุทธศาสตร์ที่เป็นมันสมองหรือที่ต้องแข่งขันกับต่างชาติ เพื่อให้มีความยืดหยุ่น ไม่ติดกับดักระเบียบ ขั้นตอน ของหน่วยงานกลาง
– การปรับวิธีการทำงาน ระบบงบประมาณ และตัวชี้วัดให้เป็น Issue-based ที่สอดรับกับเป้าหมายของประเทศ
2.3 การพัฒนาบุคลากรภาครัฐ
– เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ (อายุ 35 – 40 ปี) เข้ามาเป็นผู้บริหารมากขึ้น
– ปรับรูปแบบการทำงานให้สอดคล้องกับ Life style ของคนรุ่นใหม่
– สร้างข้าราชการรุ่นใหม่จากกลุ่มคนที่มีศักยภาพ เช่น การขยายผลโครงการ นปร. นักเรียนทุน และระบบ Lateral Entry
– ปลูกฝังกรอบความคิด (Mindset) และทัศนคติ (Attitude) โดยเฉพาะเรื่องความโปร่งใสและการบริการดิจิทัล
2.4 การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน
– การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน
– การสร้างระบบ Check & Balance ที่ป้องกันการทุจริต แต่ยังสร้างความคล่องตัวให้คนทำงาน
2.5 การปฏิรูปกฎหมาย
– ลดความเข้มข้นของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฎิบัติราชการ และเอื้อให้เกิดกฏระเบียบ/กฏเกณฑ์ที่เหมาะสมกับแต่ละองค์กร เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เพื่อให้ข้าราชการทั้งผู้นำและผู้ปฏิบัติกล้าคิด กล้าทำ มากขึ้น
2.6 การพัฒนาภาครัฐดิจิทัล
– นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในภารกิจประจำ/พื้นฐานมากขึ้น เช่น การลงบันทึกประจำวันของตำรวจด้วยระบบดิจิทัล
– ภาครรัฐควรลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีและเปิดโอกาสให้ภาคส่วนอื่นมาลงทุนร่วมกัน
3. กลไกสร้างการเปลี่ยนแปลง
– สร้างแรงจูงใจในระบบราชการให้สมดุลกับบทลงโทษ โดยนำระบบ Risk-Reward Structure มาปรับใช้
– สร้างหน่วยงานที่เป็นตัวอย่างในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง (Agent of Change) โดยปลดล็อคระเบียบ ขั้นตอนบางอย่างให้
– ใช้วิกฤตเป็นตัวผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
การดำเนินการต่อไป สำนักงาน ก.พ.ร. จะสรุปความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากการประชุมยกร่างเป็น Guiding Principle และแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการในอนาคต เพื่อนำเสนอ อ.ก.พ.ร.ฯ และผู้ทรงคุณวุฒิ พิจารณาให้ความเห็นในการประชุมครั้งถัดไป ตลอดจนนำไปรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มอื่น ๆ ต่อไป